ฟุตบอลโลก 2022 เจอเสียงบ่นจากแฟนบอล ไอเดียติดแอร์ในสนาม ทุ่มเป็นร้อยล้าน แต่ผลที่ได้จะเกินไปแล้ว เชียร์ไปสั่นไป มันจะหนาวเกินไปไหม
ในช่วงเวลาที่แฟนบอลทั่วโลกต่างก็ร่วมลุ้นแล้วก็เชียร์ทีมโปรดในศึก ฟุตบอลโลก 2022 กันอย่างคึกคัก เจ้าภาพอย่างกาตาร์ ก็ได้ทุ่มงบประมาณหลายร้อยล้าน ติดตั้งแอร์ภายในสนามแข่งเพื่อแก้ปัญหาสภาพอากาศสุดโหดแก่บรรดานักฟุตบอล ที่ต้องมาแข่งขันกันกลางทะเลทรายที่มีอุณหภูมิสูงจัด
อย่างไรก็ตาม ไอเดียการติดแอร์ในสนามแข่งนั้นได้กลายมาคือปัญหาที่ทำเอาแฟนบอลบ่นกันซะอย่างนั้น โดยเว็บไซต์เดลี่เมล แถลงการณ์ว่า มีแฟนบอลจำนวนไม่น้อยต้องนั่งตัวสั่นในสนามกีฬา พร้อมบ่นว่าอุณหภูมิในสนามนั้นจะหนาวเกินไปแล้ว โดยยิ่งไปกว่านั้นอย่างยิ่งในเกมการแข่งขันช่วงเย็น ที่อุณหภูมิของทะเลทรายลดลงจาก 30 องศาเซลเซียส เหลือเพียงแค่ 19 องศาเซลเซียส
แล้วก็นั่นจึงเกิดเป็นภาพของแฟนบอลบางคน ที่ต้องสวมเสื้อกันหนาวระหว่างนั่งเชียร์การแข่งขัน ถึงแม้แต่แฟนบอลฝั่งเจ้าภาพอย่าง ไฟซัล ราซีด ก็ยังเปิดใจยอมรับว่า “เอาจริงๆนะ มันหนาวเกินไป”
ด้าน มาริโอ ซานเชส แฟนบอลจากสหรัฐฯมาชม ฟุตบอลโลก
ชี้ว่า “มันหนาวจริงๆนะ เป็นด้วยเหตุว่ามีลมแรงมาก”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้แฟนบอลหลาย ๆ คนอาจจะต้องสวมเสื้อกันหนาว นั่งเชียรอยู่บนอัฒจันทร์ แต่สำหรับ จอร์แดน พิกฟอร์ด ผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษ กลับกล่าวว่าในความเป็นจริงแล้วสภาพอากาศเช่นนี้ เหมาะสมแล้วสำหรับผู้เล่นในสนาม เขายอมรับว่าถ้าอยู่บนอัฒจันทร์ ก็คงจะหนาวไป แต่สำหรับผู้เล่น แล้วนี่เป็นอุณหภูมิที่สมบูรณ์แบบสุด ๆ
บอลโลกไม่รักษ์โลก? ศึก World Cup ในเมืองทะเลทราย ปัญหาหินสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
นับตั้งแต่ฟีฟ่าประกาศให้ประเทศกาตาร์เป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 มีข้อสงสัยเกิดขึ้นมากมาย
เมื่อกาตาร์ประกาศต้อนรับทุกคนอย่างเท่าเทียม ในประเทศซึ่งสถานะรักร่วมเพศยังเป็นเรื่องผิดกฎหมาย มีแรงงานย้ายถิ่นนับพันคนเสียชีวิตจากการก่อสร้าง หรือประเด็นแฟนบอลไม่สามารถหาซื้อแอลกอฮอล์ได้
แต่ประเด็นที่กำลัง ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง มากที่สุด คือการให้คำมั่น สัญญา ต่อประชาคมโลก ว่าจะจัดการแข่งขันฟุตบอลที่ “เป็นกลางทางคาร์บอน ครั้งแรกในประวัติศาสตร์”
แต่หลังจากผ่านการเปิดสนามมาเพียงแต่ไม่กี่วัน คำตอบจากองค์กร ด้านสภาพแวดล้อม ต่างตะโกนเป็นเอกฉันท์ว่า “ทำไม่ได้อย่างที่บอกแน่นอน”
ก่อนหน้านี้ ฟีฟ่าประเมิน ว่าการจัดบอลโลกปีนี้ จะผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 3.6 ล้านตัน ซึ่งมากกว่า บอลโลกที่ รัสเซียในปี 2018 ถึง 2 เท่า หรือเทียบเท่ากับ การปล่อยคาร์บอน ของประเทศคองโกอีกทั้งปี
แต่จะมีกระบวนการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) โดยการซื้อคาร์บอนเครดิตจาก Global Carbon Council แล้วก็เงินที่ใช้จ่ายจะถูกนำไปหมุนเวียน ต่อในโครงการพลังงานสะอาดทั่วตะวันออกกลาง
ฟีฟ่าเริ่มพูดถึงประเด็นด้านสภาพแวดล้อมหรือ Green Goal มาตั้งแต่ปี 2006 อย่างการสนับสนุนการสร้างโรงกระแสไฟฟ้าพลังงานสะอาดในฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ ปี 2010
แล้วก็ล่าสุด ในเวที COP26 ฟีฟ่าประกาศ อย่างยิ่งใหญ่ ว่าจะบรรลุข้อตกลงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2040
การเดินทาง ของนักฟุตบอลแล้วก็แฟนบอล ถือเป็นความท้าทาย ที่สุดของการจัดการ คาร์บอน เมื่อคนทั้งโลกบินมายังจุดหมายปลายทาง เดียวกัน ในประเทศขนาดเล็กที่มีประชากรเพียงแต่ 2.9 ล้านคน
โดยมีตัวเลขคาดการณ์ว่า 51% ของการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดมาจากการเดินทาง แต่ตัวเลขนี้นับเฉพาะการเดินทางในกาตาร์ ไม่รวมทั้งการเดินทางข้ามประเทศกว่า 160 เที่ยวบินต่อวันของผู้ชมที่ไม่สามารถหาที่พักในกาตาร์ได้ จึงต้องใช้บริการที่พักตาม ประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้นว่า ประเทศคูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ซาอุดีอาระเบีย
ถัดมาคือ การสร้างสนาม ฟุตบอลแล้วก็สถานที่ฝึกฝนคิดเป็น 25% ของการปล่อยคาร์บอนทั้งหมด
ด้วยข้อบังคับของการเป็นเจ้าภาพ บอลโลกต้องมีสนามแข่ง อย่างน้อย 8 แห่ง แต่กาตาร์มีสนาม Khalifa กลางกรุงโดฮา ที่ถูกใช้แบบอเนก ประสงค์เพียงแต่แห่งเดียวมาตั้งแต่ปี 1976 ทำให้การสร้างสนามเพิ่มอีก 7 แห่งกลายเป็นมหกรรม ปล่อยคาร์บอนจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง
เมื่อสนาม ฟุตบอลโลก ถูกใช้ประโยชน์ ให้นักฟุตบอลโชว์ฝีแข้งเพียงแต่ 4 สัปดาห์
กาตาร์จึงพยายามออกแบบ สนามให้รีไซเคิลได้ เป็นต้นว่า สนาม Ras Abu Aboud ความจุ 40,000 ที่นั่ง ประกอบขึ้นจาก ตู้คอนเทนเนอร์ แล้วก็ถอดตู้พวกนี้ไปใช้ประโยชน์ต่อได้หลังงานจบ
ในขณะที่บางสนาม อ้างว่าจะถูกเปลี่ยนไปเป็นโรงแรมบูติค แต่ต้องยอมรับว่า สนามฟุตบอลที่ถูกทิ้งร้าง เป็นต้นว่า ริโอเดอจาเนโร แล้วก็ เอเธนส์ ยังคงเป็นแผลใหญ่ที่หลายประเทศ ลงทุนไปแบบได้ไม่คุ้มเสียมาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนั้น กาตาร์ปักหมุด การแข่งขันให้เกิดขึ้นใน เดือนพฤศจิกายน ด้วยเหตุว่าตั้งใจหลีกเลี่ยงการเผชิญอากาศอันร้อนระอุ ถึงแม้อุณหภูมิจะลดลงจาก 50 องศาเซลเซียสในช่วงหน้าร้อน มาอยู่ที่ 25 องศาเซลเซียส แต่ก็ยังถือว่าอบอ้าว ในระดับที่ต้อง เปิดเครื่องปรับอากาศให้นักฟุตบอลยุโรป
กาตาร์จึงสร้างสนามแข่งติดแอร์ถึง 7 แห่ง โดยวิศวกรคนดัง Saud Abdul Ghani สมญานาม Dr Cool ได้ศึกษาระบบ ทำความเย็นในสนามฟุตบอล เพื่อลดอาการบาดเจ็บ ของนักฟุตบอลมากว่า 13 ปี จนออกมาเป็นเครื่องปรับอากาศพลังงานแสงอาทิตย์ ที่พ่นลมเย็นใต้ที่นั่ง แล้วก็มีระบบหมุนเวียนให้ความเย็นไม่ไหลออกนอกสนามแข่ง เหมือนมีฟองสบู่เย็นโอบล้อมอยู่
ในรอบไฟนอลที่สนาม Lusail มีการออกแบบทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ให้มีเหลี่ยมมุมโดยรอบ เพื่อเกิดร่มเงาในทุกจุด หลังจากประเมินว่า ความร้อนตลอด 4 ชั่วโมงที่เกิดขึ้นจากผู้ชม 80,000 คนในสนาม จะเทียบเท่ากับ คอมพิวเตอร์ทำงานพร้อมกัน 160,000 ตัว
การอัดฉีดความเย็น คงต้องทำแบบไม่ยั้ง เพื่ออรรถรสในการรับชม แล้วก็ที่สำคัญ ต้องรักษาสมรรถนะร่างกาย อันร้อนระอุของนักฟุตบอลให้ได้มากที่สุด
เมื่อพูดถึงสายตา นับพันล้านคู่ที่จับจ้อง
ท่าทางของนักฟุตบอลทีมชาติ คนโปรดบนต้นหญ้าเขียวขจี อย่าลืมว่านี่คือการปลูกต้นหญ้าบนดินแดนแห่งทะเลทราย
การถนอมกล่อมเกลี้ยงต้นหญ้า ในหนึ่งสนามต้องใช้น้ำกลั่นถึง 10,000 ลิตรต่อวันในหน้าหนาว แล้วก็เพิ่มเป็น 5 เท่าในหน้าร้อน
กาตาร์อ้างว่ามีการรีไซเคิลน้ำ แล้วก็ลดการใช้น้ำถึง 40% เมื่อเทียบกับการแข่งขันปกติ แต่น้ำจืดพวกนี้ต้องผ่านกระบวนการกลั่น จากโรงกระแสไฟฟ้าฟอสซิลเป็นหลัก แล้วก็ยังไม่นับการขนส่งต้นหญ้า มาจากประเทศสหรัฐ อเมริกา ที่ต้องนำคาร์บอนฟุตพริ้นท์มาคำนวณด้วย
สุดท้ายแล้ว การซื้อคาร์บอนเครดิต 1.8 ล้านตันเพื่อชดเชย การปล่อยคาร์บอน มหาศาล หรือการปลูกต้นไม้หลักหมื่นต้น ดูจะไม่เป็นที่ยอมรับสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุว่า หลักการที่ง่ายที่สุดของการช่วยโลกร้อน คือการไม่ปล่อยคาร์บอนตั้งแต่แรกเริ่ม
อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่มีการนำเรื่องของฟุตบอลแล้วก็โลกร้อน มาเจอกันอย่างเป็นรูปธรรม
บทเรียนของการตั้งเป้าหมายใหญ่ แต่ทำไม่ได้จริง การพัฒนาเทคโนโลยี สร้างสนามแข่ง การสร้างความตระหนักรู้เรื่องสภาพแวดล้อม ให้กับแฟนกีฬา แล้วก็การเปิดรับผลประเมินจากองค์กรข้างนอก คงถูกใช้อย่างเข้มข้นในการแข่งขันกีฬาระดับโลกหลังจากนี้
ด้านฟุตบอลยูโรก็ประกาศ จัดการแข่งขันให้เป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2030 เหมือนกัน มองเห็นได้จากการปล่อยแคมเปญให้แฟนบอล ลดการสร้างคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างสม่ำเสมอ